เริ่มต้นทริปการเดินทางท่องเที่ยวสู่... ประเทศเวียดนาม ณ จุดผ่านด่านพรมแดนมุกดาหาร (ประเทศไทย) - สะหวันนะเขต (ประเทศลาว) - กวางตรี (ประเทศเวียดนาม) - เว้ - ดานัง - ฮอยอัน
ภาพบน และล่าง : รถกำลังแล่นบนสะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว แห่งที่ 2 ข้ามแม่น้ำโขง จ.มุกดาหาร
ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง : สะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว แห่งที่ 2 ...อ่านเพิ่มเติม
ภาพบน และล่าง : รถโดยสารขนาดเล็กไว้บริการตลอดทั้งวัน สำหรับ สปป.ลาว ตามกฏหมายต้องขับรถช่องทางฝั่งขวา ส่วนประเทศไทยต้องขับรถช่องทางฝั่งซ้าย และ ณ จุดผ่านด่านพรมแดนทั้งสองแห่งนี้ มีถนนไขว้กันให้รถสลับช่องทางเดินรถก่อนเข้าประเทศนั้นๆ โดยขับรถไปเรื่อยๆ ตามช่องเดินรถที่บังคับไว้ เพียงเท่านี้รถก็เข้าสู่ช่องเดินรถตามกฏหมายของประเทศที่กำลังเดินทางอยู่ในขณะนั้น
ภาพบน และล่าง : ซิม โทรศัพท์เคลื่อนที่ Vinaphone มีจำหน่าย ณ จุดผ่านด่านพรมแดนลาวบาว ราคา 100 บาท โทรได้ 25 นาที
เมืองเว้
อดีตนครจักรพรรดิ หรือพระราชวังที่จักรพรรดิยาลอง องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียนเป็นผู้สถาปนาขึ้น เมืองแห่งนี้ได้รับการบันทึกไว้หลังจากอาณาจักรจามปาล่มสลายลง
เดิมเมืองเว้นั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม อยู่ในความปกครองของขุนนางเหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) ในแผ่นดินของราชวงศ์เล แต่ราชวงศ์ปกครองได้ไม่นานก็เกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนขึ้น ทางตอนเหนือตกไปอยู่ในการปกครองของขุนนางตริงห์ และทางตอนใต้ตกอยู่ในการปกครองของขุนนางเหวียน ต่อมาได้ขัดแย้งกัน และได้เกิดสงครามขึ้นมา พี่น้องตระกูลเกยเซินก่อกบฏขึ้น และยึดเวียดนามได้ทั้งหมด เหวียนฉวาง หรือที่คนไทยรู้จักพระองค์ในชื่อว่า องเชียงสือ ซึ่งเป็นผู้ปกครองเวียดนามใต้อยู่ในขณะนั้น จึงได้ลี้ภัยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนานถึง 4 ปี แล้วกลับมาปราบกบฏลงได้ในปี พ.ศ. 2345 และรวบรวมดินแดนทางตอนเหนือ และตอนใต้เข้าไว้ด้วยกัน โดยเรียกชื่อเสียใหม่ว่า เวียดนาม พร้อมกับสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิยาลองแห่งราชวงศ์เหวียน ขึ้นปกครองเมืองเว้ ซึ่งเป็นราชธานี
แต่หลังจากที่พระเจ้ายาลองปกครองเวียดนามได้เพียง 33 ปี ฝรั่งเศสก็บุกเข้าโจมตีเมืองเว้ ในช่วงนี้จักรพรรดิผลัดกันขึ้นสู่บัลลังก์ในช่วงสั้นๆ การเดินขบวนต่อต้านฝรั่งเศส และการต่อสู้กับจักรพรรดิ นิยมถูกติดตามมาด้วยการยึดครองของญี่ปุ่นในมหาสงครามเอเชียบูรพา เมื่อปี พ.ศ. 2488 และในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกันนี้เอง ที่พระเจ้าเบ๋าได่ ได้สละราชสมบัติเป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์เหวียน ต่อมาเมืองเว้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามใต้ตามการแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วน และได้เสื่อมสลายลงภายใต้การปกครองของรัฐบาลโงดิงห์เดียม นครแห่งจักรพรรดิต้องประสบกับความเสียหายอย่างหนัก ระหว่างการบุกเข้าโจมตีของเวียดกงในช่วงเทศกาลเต็ด เมื่อปี พ.ศ. 2511 ซึ่งก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกเมืองในเวียดนามใต้ และเหตุการณ์ครั้งนั้นเองก็ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาถอนกองกำลังออกจากเวียดนาม และในที่สุดก็ทำให้เวียดนามเหนือลงมายึดเวียดนามใต้ และรวมกันเป็นหนึ่งได้สำเร็จ
แม้ว่าเมืองเว้ จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงครามลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนครจักรพรรดิอยู่อีกไม่น้อยเช่นกัน แต่ละแห่งล้วนมีเรื่องราวน่าสนใจมากมายให้นักเดินทางได้เข้าไปเยี่ยมชม ตั้งแต่พระราชวัง สุสานจักรพรรดิ ตลอดจนแม่น้ำหอม แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านใจกลางเมือง และด้วยความเจิญรุ่งเรืองในอดีต โบราณสถานอันงดงาม และทรงคุณค่า วัฒธรรมที่มีแบบฉับของตนเอง เว้จึงได้รับการยืนยันจากองค์การยูเนสโก ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. 2536 สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนเมืองมรดกโลก ริมแม่น้ำหอม ที่ไม่ได้สูญหายไปพร้อมกับกาลเวลาแห่งนี้
เว้...เมืองแห่งประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองเวียดนาม เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาของพระราชวัง สุสานของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน ตลอดจนป้อมปราการที่ตั้งสง่างามอยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงครามไปบ้าง แต่ก็ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองสมกับเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม
สถานที่ตั้ง : เมืองเว้ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ เชื่อมโยงเขตอันอุดมสมบูรณ์อันกว้างใหญ่ถึงดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางภาคใต้ และดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงทางภาคเหนือ อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 12 กิโลเมตร มีพรมแดนติดกับประเทศลาวทางภาคตะวันตก อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2345 - 2488 และเมืองนี้ก่อตั้งโดยกษัตริย์ราชวงศ์เหวียน แม้ว่าความเก่าแก่จะไม่เท่ากับเมืองหลวงอย่างฮานอย ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 900 ปี แต่เมืองเว้กลับยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และโบราณสถานอันสง่างามไว้ได้อย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากชาวเวียดนามจะกล่าวว่า หากอยากรู้จักเวียดนามต้องมาเยือนเมืองแห่งนี้ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอมที่ไหลผ่านกลางเมือง
ในบรรดาเมืองท่องเที่ยวของเวียดนามกลาง ดานังดูจะได้เปรียบในเรื่องความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าเยี่ยมชมอย่างพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม หาดทรายขาวที่ขึ้นชื่ออย่างไบเบียนนอนเนื้อก และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขาหินอ่อน สิ่งเหล่านี้เองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก จนทำให้อดีตหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้กลับกลายเป็นเมืองท่าที่น่าเยี่ยมชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม เมืองเอกของจังหวัดกว่าง นาม เมืองดานัง ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำห่าน อยู่ระหว่างภาคกลางของประเทศเวียดนาม ห่างจากเมืองเว้ประมาณ 108 กิโลเมตร
ดานังในอดีตเคยเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง แต่ภายหลังที่แม่น้ำทูโบนเริ่มตื้นเขิน ดานังจึงถูกพัฒนาขึ้นเป็นเมืองท่าแทนที่ จนกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศเวียดนาม
ในสมัยยุคอาณานิคม ฝรั่งเศสได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองดานัง เมื่อปี พ.ศ. 2401 ก่อนที่จะยึดเวียดนามเป็นอาณานิคมไว้ได้ในปี พ.ศ. 2426 และในช่วงของสงครามเวียดนาม อเมริกาได้ใช้เมืองดานังเป็นฐานทัพอากาศในการโจมตีเวียดนามเหนือ เห็นได้จากร่องรอยของสงครามที่มีเหลืออยู่ เช่น โรงเก็บเครื่องบินเก่าของอเมริกันบนถนนแบ๊กดัง
ปัจจุบัน ดานังเป็นเมืองท่าที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะด้วยคุณลักษณะภูมิประเทศที่มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน สะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง มีสนามบินนานาชาติดานังไว้รองรับการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ อีกทั้งสถานที่ท่องเที่ยวก็น่าสนใจหลายแห่ง
อุโมงค์หวิงห์ม็อก
อุโมงค์หวิงห์ม๊อก ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเว้ มาทางทิศเหนือราว 65 กิโลเมตร นับเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่คนทั้งหมู่บ้านอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายปี เพื่อหลบภัยจากการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องในสมัยสงครามเวียดนาม แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะพากันอพยพไปอยู่ในส่วนอื่นๆ ของประเทศ แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนกว่า 300 คน ที่ยังอาศัยอยู่ภายในอุโมงค์คนรูแห่งนี้เป็นเวลากว่า 5 ปี นับจากปี พ.ศ. 2509 - 2514 ภายในเครือข่ายอุโมงค์ที่มีความยาวกว่า 2,000 เมตร นี้ แบ่งออกเป็น 3 ชั้น มีทางเข้าออกทั้งหมด 13 ทาง แต่ละชั้นจะมีการสร้างเป็นห้องต่างๆ ทางซ้าย และขวา โดยชั้นแรกมีจุดเด่นน่าชมอยู่ที่ห้องที่ใช้คลอดเด็กทารกถึง 17 คน และชั้นที่สองเป็นส่วนที่ใช้ในการประชุมในสมัยสงคราม จากนั้นจะมีทางเดินลงสู่ชั้นที่ 3 ของอุโมงค์ ซึ่งค่อนข้างชันควรใช้ความระมัดระวัง อุโมงค์หวิงห์ม็อก สามารถเที่ยวชมได้ตลอดปี เพียงแต่ในฤดูฝนอาจจะมีความยากลำบากในการเดินทางสักหน่อย และควรนำไฟฉายติดตัวมาด้วย เพราะทางเดินในอุโมงค์ค่อนข้างมืด
วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda)
วัดเทียนมู่ ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของริมแม่น้ำหอมของประเทศเวียดนาม ทางไปสุสานของพระเจ้ามิงห์หม่าง วัดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้ คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ส่วนทางฝั่งซ้าย และขวาเป็นที่ตั้งของศิลาจารึก และระฆังสำริดขนาดใหญ่ มีน้ำหนักถึง 2,000 กิโลกรัม ถัดมาทางด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ คอยยืนเฝ้าปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามาเยือน และวัดแห่งนี้เองมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และการเมืองในช่วงยุคหลังของเวียดนาม เมื่อพระภิกษุทิกกวางหยุก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ได้ใช้รถออสตินสีฟ้าคันเล็กเป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อน หรือ โฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน ในช่วงสายของวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เพื่อประท้วงการบังคับให้ประชาชนไปนับถือศาสนาคริสต์ และการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลโงดินห์เดียมที่เป็นคาทอลิก รวมทั้งใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนในประเทศ ปัจจุบันรถออสตินสีฟ้าคันนั้นได้ถูกเก็บรักษา และจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้
ฮอยอัน
จากนักเดินทางทั่วทุกมุมโลกที่มาเยือนเวียดนาม ล้วนเลือกเอาฮอยอันเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว เพราะชื่อเสียงของเมืองมรดกโลกที่ยังคงมีลมหายใจ เสน่ห์ของตึกเก่าสีเหลืองสวยสไตล์โคโลเนียลที่อนุรักษ์เอาไว้ให้คงเอกลักษณ์ดังเช่นอดีต วิถีชีวิตที่เรียบง่าย และสวยงามของชาวเมืองฮอยอัน ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีพร้อมสรรพสำหรับนักท่องเที่ยว
เมืองฮอยอัน อยู่ห่างจากเมืองท่าดานังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทูโบน ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้ามาตอนในระยะทางไม่กี่กิโลเมตร เมืองเก่าโบราณที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งนี้ ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ในบริเวณที่เคยเป็นไดเวียดกลาง ภายใต้การปกครองของขุนนางเหวียน และปรากฏอยู่ในแวดวงของนักเดินทางตะวันตกในศตวรรษที่ 17 และ 18 แรกเริ่มเมืองฮอยอันเคยเป็นเมืองท่าชายทะเลในอาณาจักรจามปา เรียกกันในชื่อว่า ได๋เจียน โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ตราเกียว และมีศาลสถานอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่หมี่เซิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฮอยอันมากนัก
สมัยกรุงศรีอยุธยา ศตวรรษที่ 19 ชื่อของฮอยอันได้รับการบันทึกลงในการเดินเรือของชาติตะวันตกในชื่อ ไฟโฟ หรือ ไฮโป และมีชาวต่างชาติเดินเรือเข้ามามากมาย จนฮอยอันกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างตะวันออก และตะวันตก จนเข้าสู่ราวครื่งหลังของศตวรรษที่ 19 เมืองแห่งนี้ก็โดนเผาราบคาบจากการสู้รบช่วงกบฏไตเซินเหวียนอัน ภายหลังเมื่อเข้าสู่ยุคเริ่มต้นราชวงศ์เหวียน เมืองฮอยอันก็ได้รับการสร้างใหม่ ซึ่งเป็นต้นแบบของอาคารบ้านเรือนอายุสองร้อยกว่าปีอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
เมื่อเข้าสู่ปลายศตวรรษที่ 19 แม่น้ำทูโบนเริ่มตื้นเขิน เนื่องจากตะกอนโคลนเลนสะสมจนไม่อาจนำเรือใหญ่เข้ามาได้ เมืองดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นเมืองท่าแห่งใหม่แทนที่ฮอยอัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองฮอยอันก็เริ่มลางเลือนไปตามกาลเวลา ทว่ายังคงเป็นเมืองค้าขายเล็กๆ จนถึงปี พ.ศ. 2459 เส้นทางรถไฟระหว่างฮอยอัน และดานังได้รับความเสียหายจากพายุ และไม่ได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม เมืองแห่งการค้าที่สำคัญซึ่งเคยต้อนรับชาวต่างชาติจึงยุบลง
ปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโกก็ได้ประกาศให้ฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพราะความงดงาม และเก่าแก่ของบ้านเมือง รวมทั้งเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามายังเมืองแห่งนี้ ประดุจน้ำในแม่น้ำทูโบนที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลง
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮอยอัน
สำหรับการมาเที่ยวชมเมืองฮอยอัน สิ่งแรกที่คุณต้องทำ คือ การซื้อบัตรเข้าชมเมืองเก่าบริเวณหัวถนนตรันฝู ภายในบัตรนั้นคุณสามารถเข้าชมได้ 5 สถานที่ภายใน 1 วัน จะเลือกเดินเท้าเข้าชมเมือง เช่าจักรยาน หรือใช้บริการของสามล้อถีบก็ได้เช่นกัน เนื่องจากฮอยอันเป็นเมืองเล็กๆ มีถนนสายหลักเพียงไม่กี่เส้น ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็เที่ยวครบแล้ว
สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall)
ถนนสายตรันฝู นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอันแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ. 2388 - 2428 จะเห็นได้จากบ้านเก่าแก่ประจำตระกูลกว่า 20 หลัง ตลอดจนจั่วฟุกเกี๋ยนที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2335 ซึ่งถือเป็นสมาคมชาวจีนที่ใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน ใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพจากฟุกเกี๋ยนที่มีแซ่เดียวกัน และยังใช้เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิด และบูชาบรรพบุรุษของตน และภายในยังเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับลัทธิของพระนางเทียนเห่า มีจุดเด่นอยู่ที่งานไม้แกะสลัก ลวดลายสวยงามน่าชม และหากคุณไม่เร่งรีบไปไหน สองฟากฝั่งของถนนตรันฝูยังเต็มไปด้วยร้านขายสินค้าทำมือให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก ทั้งงานแกะสลักไม้ โคมไฟจากผ้าไหมหลากสี ภาพวาดที่สะท้อนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวฮอยอัน ตลอดจนร้านอาหารหลากสัญชาติ หลายบรรยากาศ
บ้านเลขที่ 101 (Old House No.101)
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองฮอยอันก็คือ การได้เข้าไปเยี่ยมชมบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ที่ยังคงงดงาม มีให้เลือกชมอยู่หลายหลัง แต่คุณสามารถเลือกเข้าชมได้เพียง 1 หลังจากบัตรเข้าชม นอกเหนือจากนี้คุณจะต้องจ่ายค่าเข้าชมในบ้านแต่ละหลังเอง เริ่มตั้งแต่ถนนตรันฝู ที่ตั้งของบ้านเลขที่ 77 ซึ่งเป็นบ้านของลูกหลานชาวจีนเก่าแก่อายุเกือบ 80 ปี ซึ่งอยู่อาศัยมาถึง 6 รุ่นแล้ว ภายในใช้เครื่องไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม ถัดมาที่ถนนเหวียนไทฮ็อก ที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมของสถาปัตยกรรมแบบฮอยอัน บนถนนสายนี้มีบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ให้เลือกเข้าชมทั้งหมด 3 หลังด้วยกัน เริ่มจากบ้านเลขที่ 22 บ้านเก่า 2 ชั้น ของชาวจีนที่เข้ามาติดต่อเพื่อซื้อขายอบเชย สร้างมาเกือบ 90 ปีแล้ว ภายในแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ บ้านไม้ และบ้านปูนเก่าสร้างอย่างประณีต เป็นครอบครัวใหญ่ที่เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ และที่คุณพลาดไม่ได้ คือ บ้านเลขที่ 101 เป็นบ้านของจีนในตระกูล Tan Ky นับเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่ และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นมาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และอยู่กันมา 5 ชั่วอายุคน ภายในแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ตั้งแต่ห้องสมุดสมัยก่อน ห้องรับแขก และห้องครัว
สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฮอยอันที่คุณต้องมาชม คือ สะพานญี่ปุ่น ได้รับการก่อสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว รูปทรงโค้งของสะพาน และหลังคามุงกระเบื้องสีเขียว และเหลืองเป็นคลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ดั๊กเด และตรันหวู ก่อนเดินข้ามสะพาน ด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัขกำลังนั่ง และเมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจอกับลิงอีกตัว นับเป็นสิ่งที่ช่างสมัยก่อนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการก่อสร้างสะพานแห่งนี้ เมื่อข้ามสะพานมายังอีกฟากหนึ่งของเมือง คุณจะพบเห็นบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดจนร้านสไตล์อาร์แกลอรี่ริมถนนคนเดินสองฟากฝั่งถนนให้คุณได้เลือกซื้อเลือกชม ส่วนถนนอีกเส้น คือ บ้านเลขที่ 7 เป็นบ้านชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินเวียดนามเมื่อครั้งขบวนเรือสำเภาเข้ามาค้าขายในเมืองท่าแห่งนี้ เอกลักษณ์ของบ้านไม้เก่าในฮอยอันก็คือ ส่วนหน้าบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่ง และหลังบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่ง บริเวณหลังบ้านจะยาวมาก ภายในตกแต่งด้วยไม้แกะสลักงดงาม และหน้าบ้านจะดัดแปลงมาเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว
ดู เมืองเว้ ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า
ภาพล่าง : จุดผ่านด่านพรมแดนมุกดาหาร (ฝั่งประเทศไทย จังหวัดมุกดาหาร)
ภาพบน และล่าง : เมื่อเชคความเรียบร้อยของพาสปอร์ตผ่านแล้ว มุ่งหน้าสู่จุดผ่านด่านพรมแดนสะหวันนะเขต (สปป.ลาว)
ภาพบน และล่าง : รถกำลังแล่นบนสะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว แห่งที่ 2 ข้ามแม่น้ำโขง จ.มุกดาหาร
ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง : สะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว แห่งที่ 2 ...อ่านเพิ่มเติม
ภาพบน และล่าง : ถึงแล้ว จุดผ่านด่านพรมแดนสะหวันนะเขต สปป.ลาว
ภาพบน และล่าง : ผู้โดยสารที่จะผ่าน
จุดผ่านด่านพรมแดนสะหวันนะเขตแห่งนี้ ต้องนำสัมภาระของตนผ่านการตรวจอย่างเข้มงวด
ภาพบน : สุขา ณ จุดผ่านด่านพรมแดนสะหวันนะเขต สปป.ลาว
ภาพบน และล่าง : รถโดยสารขนาดเล็กไว้บริการตลอดทั้งวัน สำหรับ สปป.ลาว ตามกฏหมายต้องขับรถช่องทางฝั่งขวา ส่วนประเทศไทยต้องขับรถช่องทางฝั่งซ้าย และ ณ จุดผ่านด่านพรมแดนทั้งสองแห่งนี้ มีถนนไขว้กันให้รถสลับช่องทางเดินรถก่อนเข้าประเทศนั้นๆ โดยขับรถไปเรื่อยๆ ตามช่องเดินรถที่บังคับไว้ เพียงเท่านี้รถก็เข้าสู่ช่องเดินรถตามกฏหมายของประเทศที่กำลังเดินทางอยู่ในขณะนั้น
ภาพล่าง : จุดจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี ณ จุดผ่านด่านพรมแดนสะหวันนะเขต สปป.ลาว
ภาพบน และล่าง : สภาพบ้านเรือนสองริมฝั่งทาง แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว มุ่งหน้าสู่... จุดผ่านด่านพรมแดนลาวบาว ประเทศเวียดนาม เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองระหว่าง สปป.ลาว และ เวียดนาม ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร
ภาพบน และล่าง : PHALANXAI ROADSIDE STATION สุขาริมทาง แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว
ภาพบน : รถแล่นผ่านขบวนแห่ผ้าป่าลาว คล้ายกับบุญผ้าป่าไทยอีสานของประเทศไทย จากคำบอกเล่าของไกด์บนรถ
ภาพบน : อาหารลาว รสชาติ และรูปลักษณ์คล้ายอาหารไทย
ภาพล่าง : เด็กๆ ลาว กำลังขอเงินจากนักท่องเที่ยว ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว
ภาพบน และล่าง : จุดผ่านด่านพรมแดนลาวบาว (สปป.ลาว - เวียดนาม)
ภาพบน และล่าง : แลกเปลี่ยนเงินสกุลบาท (ไทย) หรือกีบ (ลาว) เป็นเงินสกุลดอง (เวียดนาม) เพื่อไว้ใช้จ่ายในประเทศเวียดนาม ณ จุดผ่านด่านพรมแดนลาวบาว
ภาพบน และล่าง : ซิม โทรศัพท์เคลื่อนที่ Vinaphone มีจำหน่าย ณ จุดผ่านด่านพรมแดนลาวบาว ราคา 100 บาท โทรได้ 25 นาที
ภาพบน และล่าง : วิว ทิวทัศน์สองริมฝั่งทาง ขณะมุ่งหน้าสู่เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม
ภาพล่าง : ปั๊มน้ำมัน ประเทศเวียดนาม
ภาพบน : ปั๊มน้ำมัน เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม
ภาพล่าง : ทุ่งนาข้าว ประเทศเวียดนามสามารถผลิตข้าวได้ถึงปีละ 4 ครั้ง
เมืองเว้
อดีตนครจักรพรรดิ หรือพระราชวังที่จักรพรรดิยาลอง องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียนเป็นผู้สถาปนาขึ้น เมืองแห่งนี้ได้รับการบันทึกไว้หลังจากอาณาจักรจามปาล่มสลายลง
เดิมเมืองเว้นั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศเวียดนาม อยู่ในความปกครองของขุนนางเหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) ในแผ่นดินของราชวงศ์เล แต่ราชวงศ์ปกครองได้ไม่นานก็เกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนขึ้น ทางตอนเหนือตกไปอยู่ในการปกครองของขุนนางตริงห์ และทางตอนใต้ตกอยู่ในการปกครองของขุนนางเหวียน ต่อมาได้ขัดแย้งกัน และได้เกิดสงครามขึ้นมา พี่น้องตระกูลเกยเซินก่อกบฏขึ้น และยึดเวียดนามได้ทั้งหมด เหวียนฉวาง หรือที่คนไทยรู้จักพระองค์ในชื่อว่า องเชียงสือ ซึ่งเป็นผู้ปกครองเวียดนามใต้อยู่ในขณะนั้น จึงได้ลี้ภัยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนานถึง 4 ปี แล้วกลับมาปราบกบฏลงได้ในปี พ.ศ. 2345 และรวบรวมดินแดนทางตอนเหนือ และตอนใต้เข้าไว้ด้วยกัน โดยเรียกชื่อเสียใหม่ว่า เวียดนาม พร้อมกับสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิยาลองแห่งราชวงศ์เหวียน ขึ้นปกครองเมืองเว้ ซึ่งเป็นราชธานี
แต่หลังจากที่พระเจ้ายาลองปกครองเวียดนามได้เพียง 33 ปี ฝรั่งเศสก็บุกเข้าโจมตีเมืองเว้ ในช่วงนี้จักรพรรดิผลัดกันขึ้นสู่บัลลังก์ในช่วงสั้นๆ การเดินขบวนต่อต้านฝรั่งเศส และการต่อสู้กับจักรพรรดิ นิยมถูกติดตามมาด้วยการยึดครองของญี่ปุ่นในมหาสงครามเอเชียบูรพา เมื่อปี พ.ศ. 2488 และในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกันนี้เอง ที่พระเจ้าเบ๋าได่ ได้สละราชสมบัติเป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์เหวียน ต่อมาเมืองเว้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนามใต้ตามการแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วน และได้เสื่อมสลายลงภายใต้การปกครองของรัฐบาลโงดิงห์เดียม นครแห่งจักรพรรดิต้องประสบกับความเสียหายอย่างหนัก ระหว่างการบุกเข้าโจมตีของเวียดกงในช่วงเทศกาลเต็ด เมื่อปี พ.ศ. 2511 ซึ่งก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกเมืองในเวียดนามใต้ และเหตุการณ์ครั้งนั้นเองก็ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาถอนกองกำลังออกจากเวียดนาม และในที่สุดก็ทำให้เวียดนามเหนือลงมายึดเวียดนามใต้ และรวมกันเป็นหนึ่งได้สำเร็จ
แม้ว่าเมืองเว้ จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงครามลงไปบ้าง แต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองของนครจักรพรรดิอยู่อีกไม่น้อยเช่นกัน แต่ละแห่งล้วนมีเรื่องราวน่าสนใจมากมายให้นักเดินทางได้เข้าไปเยี่ยมชม ตั้งแต่พระราชวัง สุสานจักรพรรดิ ตลอดจนแม่น้ำหอม แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านใจกลางเมือง และด้วยความเจิญรุ่งเรืองในอดีต โบราณสถานอันงดงาม และทรงคุณค่า วัฒธรรมที่มีแบบฉับของตนเอง เว้จึงได้รับการยืนยันจากองค์การยูเนสโก ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. 2536 สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมเยือนเมืองมรดกโลก ริมแม่น้ำหอม ที่ไม่ได้สูญหายไปพร้อมกับกาลเวลาแห่งนี้
เว้...เมืองแห่งประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองเวียดนาม เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาของพระราชวัง สุสานของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน ตลอดจนป้อมปราการที่ตั้งสง่างามอยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงครามไปบ้าง แต่ก็ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองสมกับเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม
สถานที่ตั้ง : เมืองเว้ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ เชื่อมโยงเขตอันอุดมสมบูรณ์อันกว้างใหญ่ถึงดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทางภาคใต้ และดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดงทางภาคเหนือ อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 12 กิโลเมตร มีพรมแดนติดกับประเทศลาวทางภาคตะวันตก อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2345 - 2488 และเมืองนี้ก่อตั้งโดยกษัตริย์ราชวงศ์เหวียน แม้ว่าความเก่าแก่จะไม่เท่ากับเมืองหลวงอย่างฮานอย ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 900 ปี แต่เมืองเว้กลับยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และโบราณสถานอันสง่างามไว้ได้อย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากชาวเวียดนามจะกล่าวว่า หากอยากรู้จักเวียดนามต้องมาเยือนเมืองแห่งนี้ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอมที่ไหลผ่านกลางเมือง
ในบรรดาเมืองท่องเที่ยวของเวียดนามกลาง ดานังดูจะได้เปรียบในเรื่องความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าเยี่ยมชมอย่างพิพิธภัณฑ์ประติมากรรมจาม หาดทรายขาวที่ขึ้นชื่ออย่างไบเบียนนอนเนื้อก และวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขาหินอ่อน สิ่งเหล่านี้เองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก จนทำให้อดีตหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้กลับกลายเป็นเมืองท่าที่น่าเยี่ยมชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม เมืองเอกของจังหวัดกว่าง นาม เมืองดานัง ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำห่าน อยู่ระหว่างภาคกลางของประเทศเวียดนาม ห่างจากเมืองเว้ประมาณ 108 กิโลเมตร
ดานังในอดีตเคยเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง แต่ภายหลังที่แม่น้ำทูโบนเริ่มตื้นเขิน ดานังจึงถูกพัฒนาขึ้นเป็นเมืองท่าแทนที่ จนกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศเวียดนาม
ในสมัยยุคอาณานิคม ฝรั่งเศสได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองดานัง เมื่อปี พ.ศ. 2401 ก่อนที่จะยึดเวียดนามเป็นอาณานิคมไว้ได้ในปี พ.ศ. 2426 และในช่วงของสงครามเวียดนาม อเมริกาได้ใช้เมืองดานังเป็นฐานทัพอากาศในการโจมตีเวียดนามเหนือ เห็นได้จากร่องรอยของสงครามที่มีเหลืออยู่ เช่น โรงเก็บเครื่องบินเก่าของอเมริกันบนถนนแบ๊กดัง
ปัจจุบัน ดานังเป็นเมืองท่าที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะด้วยคุณลักษณะภูมิประเทศที่มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน สะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง มีสนามบินนานาชาติดานังไว้รองรับการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ อีกทั้งสถานที่ท่องเที่ยวก็น่าสนใจหลายแห่ง
ภาพบน และล่าง : พิพิธภัณฑ์จัดแสดงถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอุโมงค์หวิงห์ม็อก ประเทศเวียดนาม
ภาพบน และล่าง : อุโมงค์หวิงห์ม็อก ประเทศเวียดนาม
อุโมงค์หวิงห์ม็อก
อุโมงค์หวิงห์ม๊อก ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเว้ มาทางทิศเหนือราว 65 กิโลเมตร นับเป็นอุโมงค์ใต้ดินที่คนทั้งหมู่บ้านอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายปี เพื่อหลบภัยจากการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องในสมัยสงครามเวียดนาม แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะพากันอพยพไปอยู่ในส่วนอื่นๆ ของประเทศ แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนกว่า 300 คน ที่ยังอาศัยอยู่ภายในอุโมงค์คนรูแห่งนี้เป็นเวลากว่า 5 ปี นับจากปี พ.ศ. 2509 - 2514 ภายในเครือข่ายอุโมงค์ที่มีความยาวกว่า 2,000 เมตร นี้ แบ่งออกเป็น 3 ชั้น มีทางเข้าออกทั้งหมด 13 ทาง แต่ละชั้นจะมีการสร้างเป็นห้องต่างๆ ทางซ้าย และขวา โดยชั้นแรกมีจุดเด่นน่าชมอยู่ที่ห้องที่ใช้คลอดเด็กทารกถึง 17 คน และชั้นที่สองเป็นส่วนที่ใช้ในการประชุมในสมัยสงคราม จากนั้นจะมีทางเดินลงสู่ชั้นที่ 3 ของอุโมงค์ ซึ่งค่อนข้างชันควรใช้ความระมัดระวัง อุโมงค์หวิงห์ม็อก สามารถเที่ยวชมได้ตลอดปี เพียงแต่ในฤดูฝนอาจจะมีความยากลำบากในการเดินทางสักหน่อย และควรนำไฟฉายติดตัวมาด้วย เพราะทางเดินในอุโมงค์ค่อนข้างมืด
ภาพบน และล่าง : อาหารเวียดนาม
ภาพบน และล่าง : Mondial Hotel @ Viet Nam
ภาพบน และล่าง : Mondial Restaurant @ Mondial Hotel , Viet Nam
ภาพบน และล่าง : อาหารเวียดนาม หน้าตาน่ารับประทาน
ภาพบน และล่าง : Conference Hall @ Mondial Hotel , Viet Nam
ภาพบน : Mondial Hotel @ Viet Nam
ภาพบน และล่าง : พระราชวังไดนอย เคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิราชวงศ์เหงียนทั้ง 13 พระองค์ ณ เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม พระราชวังนี้สร้างตามแบบพระราชวังต้องห้ามปักกิ่งในสมัยจักรพรรดิยาลอง และเป็นที่จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหงียน (จักรพรรดิเบ๋าได๋) ใช้เป็นที่สละราชสมบัติให้กับพรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1975 อันเป็นปีสิ้นสุดแห่งราชวงศ์เหงียนด้วย
ภาพบน และล่าง : ตำหนักไทฮวา พิพิธภัณฑ์แสดงเครื่องทรงจักรพรรดิในอดีต ฯลฯ
ภาพบน และล่าง : วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda), Viet Nam
วัดเทียนมู่ (Thien Mu Pagoda)
วัดเทียนมู่ ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของริมแม่น้ำหอมของประเทศเวียดนาม ทางไปสุสานของพระเจ้ามิงห์หม่าง วัดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้ คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ส่วนทางฝั่งซ้าย และขวาเป็นที่ตั้งของศิลาจารึก และระฆังสำริดขนาดใหญ่ มีน้ำหนักถึง 2,000 กิโลกรัม ถัดมาทางด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ คอยยืนเฝ้าปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามาเยือน และวัดแห่งนี้เองมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และการเมืองในช่วงยุคหลังของเวียดนาม เมื่อพระภิกษุทิกกวางหยุก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ได้ใช้รถออสตินสีฟ้าคันเล็กเป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อน หรือ โฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน ในช่วงสายของวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เพื่อประท้วงการบังคับให้ประชาชนไปนับถือศาสนาคริสต์ และการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลโงดินห์เดียมที่เป็นคาทอลิก รวมทั้งใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนในประเทศ ปัจจุบันรถออสตินสีฟ้าคันนั้นได้ถูกเก็บรักษา และจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้
ภาพบน และล่าง : สุสานไคดิงห์ เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม เป็นสุสานของจักรพรรดิที่ออแบบสร้างผสมผสานด้วยศิลปะแบบฝรั่งเศส และเวียดนามได้อย่างลงตัว ประดับประดาด้วยลวดลายอย่างวิจิตรตระการตา
ภาพบน และล่าง : รถกำลังแล่นอยู่ในอุโมงค์ที่ขุดใต้ภูเขา ความยาว 6.3 กิโลเมตร เส้นทางระหว่างเมืองเว้ - ฮอยอัน ประเทศเวียดนาม
ภาพบน และล่าง : หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน หรือ นองเหนือก เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากหินอ่อนนานาชนิดเป็นของฝาก
ภาพบน และล่าง : โรงแรมเพืองนาม , PHUONG NAM HOTEL @ Viet Nam
ภาพบน และล่าง : ร้านจำหน่ายผลไม้เวียดนาม
ภาพบน และล่าง : ร้านจำหน่ายดอกไม้ริมทางยามค่ำคืน
ภาพบน : เครื่องดื่มเบียร์ยี่ห้อหนึ่งของเวียดนาม กระป๋องละ 20 บาท
ภาพล่าง : ล็อตเตอรี่เวียดนาม กลางคืนก็มีขาย ออกรางวัล ทุกวัน
ภาพบน : ภายในรถแท็กซี่ เวียดนาม , TAXI @ Viet Nam
ภาพล่าง : น้ำแข็ง เย็นทนนาน ละลายยาก ลักษณะแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ลาวเรียก "น้ำก้อน" ที่เวียดนามเรียก "เนื๊อก กำ ดา"
ภาพบน : อาหารเวียดนาม กุ้งย่าง 1 ชุด ชุดพริกเกลือโรยด้วยเกล็ดผงชูรส
ภาพล่าง : รายการเมนูอาหารเวียดนาม (อ่านได้ แต่แปลไม่ได้ คำผสมด้วยวรรณยุกต์แด่ด คล้ายภาษาฝรั่งเศส)
ภาพบน : โรงแรมเพืองนาม PHUONG NAM HOTEL , Viet Nam
ภาพล่าง : หญิงชาวเวียดนาม กำลังเดินขายหนังสือพิมพ์ริมถนน
ฮอยอัน
จากนักเดินทางทั่วทุกมุมโลกที่มาเยือนเวียดนาม ล้วนเลือกเอาฮอยอันเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว เพราะชื่อเสียงของเมืองมรดกโลกที่ยังคงมีลมหายใจ เสน่ห์ของตึกเก่าสีเหลืองสวยสไตล์โคโลเนียลที่อนุรักษ์เอาไว้ให้คงเอกลักษณ์ดังเช่นอดีต วิถีชีวิตที่เรียบง่าย และสวยงามของชาวเมืองฮอยอัน ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีพร้อมสรรพสำหรับนักท่องเที่ยว
เมืองฮอยอัน อยู่ห่างจากเมืองท่าดานังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทูโบน ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้ามาตอนในระยะทางไม่กี่กิโลเมตร เมืองเก่าโบราณที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งนี้ ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ในบริเวณที่เคยเป็นไดเวียดกลาง ภายใต้การปกครองของขุนนางเหวียน และปรากฏอยู่ในแวดวงของนักเดินทางตะวันตกในศตวรรษที่ 17 และ 18 แรกเริ่มเมืองฮอยอันเคยเป็นเมืองท่าชายทะเลในอาณาจักรจามปา เรียกกันในชื่อว่า ได๋เจียน โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ตราเกียว และมีศาลสถานอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่หมี่เซิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฮอยอันมากนัก
สมัยกรุงศรีอยุธยา ศตวรรษที่ 19 ชื่อของฮอยอันได้รับการบันทึกลงในการเดินเรือของชาติตะวันตกในชื่อ ไฟโฟ หรือ ไฮโป และมีชาวต่างชาติเดินเรือเข้ามามากมาย จนฮอยอันกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างตะวันออก และตะวันตก จนเข้าสู่ราวครื่งหลังของศตวรรษที่ 19 เมืองแห่งนี้ก็โดนเผาราบคาบจากการสู้รบช่วงกบฏไตเซินเหวียนอัน ภายหลังเมื่อเข้าสู่ยุคเริ่มต้นราชวงศ์เหวียน เมืองฮอยอันก็ได้รับการสร้างใหม่ ซึ่งเป็นต้นแบบของอาคารบ้านเรือนอายุสองร้อยกว่าปีอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
เมื่อเข้าสู่ปลายศตวรรษที่ 19 แม่น้ำทูโบนเริ่มตื้นเขิน เนื่องจากตะกอนโคลนเลนสะสมจนไม่อาจนำเรือใหญ่เข้ามาได้ เมืองดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นเมืองท่าแห่งใหม่แทนที่ฮอยอัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองฮอยอันก็เริ่มลางเลือนไปตามกาลเวลา ทว่ายังคงเป็นเมืองค้าขายเล็กๆ จนถึงปี พ.ศ. 2459 เส้นทางรถไฟระหว่างฮอยอัน และดานังได้รับความเสียหายจากพายุ และไม่ได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม เมืองแห่งการค้าที่สำคัญซึ่งเคยต้อนรับชาวต่างชาติจึงยุบลง
ปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโกก็ได้ประกาศให้ฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพราะความงดงาม และเก่าแก่ของบ้านเมือง รวมทั้งเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามายังเมืองแห่งนี้ ประดุจน้ำในแม่น้ำทูโบนที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ภาพบน : จักรยานสามล้อถีบ ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวที่ฮอยอัน
ภาพล่าง : หมวกเวียดนาม มีจำหน่ายมากมายในฮอยอัน
ภาพบน : ร้านจำหน่ายอาหารริมทาง ฮอยอัน ประเทศเวียดนาม
ภาพล่าง : ล็อตเตอรี่เวียดนาม มีจำหน่ายทุกวัน และออกรางวัล ทุกวัน
สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮอยอัน
สำหรับการมาเที่ยวชมเมืองฮอยอัน สิ่งแรกที่คุณต้องทำ คือ การซื้อบัตรเข้าชมเมืองเก่าบริเวณหัวถนนตรันฝู ภายในบัตรนั้นคุณสามารถเข้าชมได้ 5 สถานที่ภายใน 1 วัน จะเลือกเดินเท้าเข้าชมเมือง เช่าจักรยาน หรือใช้บริการของสามล้อถีบก็ได้เช่นกัน เนื่องจากฮอยอันเป็นเมืองเล็กๆ มีถนนสายหลักเพียงไม่กี่เส้น ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็เที่ยวครบแล้ว
สมาคมฟุกเกี๋ยน (Phouc Kien Assembly Hall)
ถนนสายตรันฝู นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของการเที่ยวชมเมืองโบราณฮอยอันแล้ว ยังเป็นศูนย์รวมของชาวจีนที่อพยพเข้ามาในช่วงปี พ.ศ. 2388 - 2428 จะเห็นได้จากบ้านเก่าแก่ประจำตระกูลกว่า 20 หลัง ตลอดจนจั่วฟุกเกี๋ยนที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2335 ซึ่งถือเป็นสมาคมชาวจีนที่ใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดของเมืองฮอยอัน ใช้สำหรับเป็นที่พบปะของคนหลายรุ่นที่อพยพจากฟุกเกี๋ยนที่มีแซ่เดียวกัน และยังใช้เป็นที่ระลึกถึงถิ่นกำเนิด และบูชาบรรพบุรุษของตน และภายในยังเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับลัทธิของพระนางเทียนเห่า มีจุดเด่นอยู่ที่งานไม้แกะสลัก ลวดลายสวยงามน่าชม และหากคุณไม่เร่งรีบไปไหน สองฟากฝั่งของถนนตรันฝูยังเต็มไปด้วยร้านขายสินค้าทำมือให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก ทั้งงานแกะสลักไม้ โคมไฟจากผ้าไหมหลากสี ภาพวาดที่สะท้อนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวฮอยอัน ตลอดจนร้านอาหารหลากสัญชาติ หลายบรรยากาศ
บ้านเลขที่ 101 (Old House No.101)
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองฮอยอันก็คือ การได้เข้าไปเยี่ยมชมบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ที่ยังคงงดงาม มีให้เลือกชมอยู่หลายหลัง แต่คุณสามารถเลือกเข้าชมได้เพียง 1 หลังจากบัตรเข้าชม นอกเหนือจากนี้คุณจะต้องจ่ายค่าเข้าชมในบ้านแต่ละหลังเอง เริ่มตั้งแต่ถนนตรันฝู ที่ตั้งของบ้านเลขที่ 77 ซึ่งเป็นบ้านของลูกหลานชาวจีนเก่าแก่อายุเกือบ 80 ปี ซึ่งอยู่อาศัยมาถึง 6 รุ่นแล้ว ภายในใช้เครื่องไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม ถัดมาที่ถนนเหวียนไทฮ็อก ที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมของสถาปัตยกรรมแบบฮอยอัน บนถนนสายนี้มีบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ให้เลือกเข้าชมทั้งหมด 3 หลังด้วยกัน เริ่มจากบ้านเลขที่ 22 บ้านเก่า 2 ชั้น ของชาวจีนที่เข้ามาติดต่อเพื่อซื้อขายอบเชย สร้างมาเกือบ 90 ปีแล้ว ภายในแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ บ้านไม้ และบ้านปูนเก่าสร้างอย่างประณีต เป็นครอบครัวใหญ่ที่เปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ และที่คุณพลาดไม่ได้ คือ บ้านเลขที่ 101 เป็นบ้านของจีนในตระกูล Tan Ky นับเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่ และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นมาเมื่อ 75 ปีที่แล้ว และอยู่กันมา 5 ชั่วอายุคน ภายในแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ตั้งแต่ห้องสมุดสมัยก่อน ห้องรับแขก และห้องครัว
สะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฮอยอันที่คุณต้องมาชม คือ สะพานญี่ปุ่น ได้รับการก่อสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว รูปทรงโค้งของสะพาน และหลังคามุงกระเบื้องสีเขียว และเหลืองเป็นคลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ดั๊กเด และตรันหวู ก่อนเดินข้ามสะพาน ด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัขกำลังนั่ง และเมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจอกับลิงอีกตัว นับเป็นสิ่งที่ช่างสมัยก่อนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการก่อสร้างสะพานแห่งนี้ เมื่อข้ามสะพานมายังอีกฟากหนึ่งของเมือง คุณจะพบเห็นบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดจนร้านสไตล์อาร์แกลอรี่ริมถนนคนเดินสองฟากฝั่งถนนให้คุณได้เลือกซื้อเลือกชม ส่วนถนนอีกเส้น คือ บ้านเลขที่ 7 เป็นบ้านชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินเวียดนามเมื่อครั้งขบวนเรือสำเภาเข้ามาค้าขายในเมืองท่าแห่งนี้ เอกลักษณ์ของบ้านไม้เก่าในฮอยอันก็คือ ส่วนหน้าบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่ง และหลังบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่ง บริเวณหลังบ้านจะยาวมาก ภายในตกแต่งด้วยไม้แกะสลักงดงาม และหน้าบ้านจะดัดแปลงมาเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว
ภาพบน และล่าง : สุนัขเวียดนาม โอกาสพบไม่บ่อยนัก ชาวเวียดนามรับประทานเนื้อสุนัขเพื่อคลายหนาว ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย โดยเนื้อสุนัขจำหน่ายกิโลกรัมละ 300 บาท (จากคำบอกเล่าของไกด์บนรถ)
ภาพบน และล่าง : อ่าวลังโก เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม
ภาพบน และล่าง : ตลาดดงบา เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม
ภาพบน : ร้านขายยา ตลาดดงบา ประเทศเวียดนาม
ภาพล่าง : ร้านซื้อขายทองคำ ตลาดดงบา ประเทศเวียดนาม
ภาพล่าง : อาหารเวียดนาม ยกชุดสูตรต้นตำหรับดั้งเดิม
ภาพบน และล่าง : เรือจักรพรรดิเวียดนาม
ภาพบน และล่าง : แม่น้ำหอม ยามค่ำคืน ประเทศเวียดนาม
ภาพบน : นักร้อง หญิงเวียดนาม ขับขานเพลงบนเรือจักรพรรดิเวียดนาม
ภาพล่าง : นักดนตรี กำลังบรรเลงดนตรีประเภทสาย บนเรือจักรพรรดิเวียดนาม
ภาพบน และล่าง : นักร้องหญิงเวียดนาม กำลังขับขานเพลงลอยกระทง
ภาพบน และล่าง : หญิงเวียดนาม กำลังร้องเพลง และเต้นประกอบเพลง
ภาพบน : ท่องราตรี ซอยตรงข้ามกับโรงแรมเซนติวรี่ Century Hotel , Viet Nam
ภาพบน : เมนูแนะนำ สลัดเบคอน อาหารเวียดนาม
ภาพล่าง : พิชซ่า เวียดนาม
ภาพบน และล่าง : CENTURY HOTEL @ Viet Nam
ภาพบน และล่าง : Riverside Restaurant @ Century Hotel , Viet Nam
ภาพบน และล่าง : อาหารเวียดนาม
ดู เมืองเว้ ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น